ทำความเข้าใจ Copayment ฉบับอ่านง่าย | ประกันสุขภาพ
ทำไมต้องมีประกันสุขภาพ
ค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนอาจสูงมาก ประกันสุขภาพช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ทำให้เข้าถึงการรักษาที่ดีได้เร็วกว่า
Copayment
Copayment จะถูกพิจารณาเฉพาะในปีต่ออายุ และใช้กับผู้ที่เข้าเงื่อนไขการเคลมหนักเท่านั้น หากปีต่อไปไม่เข้าเงื่อนไข copayment จะไม่ถูกเรียกเก็บ
เงื่อนไขหลัก
- กรณี 1 — ป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases): เคลมนอนโรงพยาบาล (IPD) ≥ 3 ครั้ง และอัตราการเคลมรวม ≥ 200% → copayment 30% ในปีต่ออายุ
- กรณี 2 — โรคทั่วไป (ยกเว้นผ่าตัดใหญ่/โรคร้ายแรง): เคลมนอนโรงพยาบาล (IPD) ≥ 3 ครั้ง และอัตราการเคลมรวม ≥ 400% → copayment 30% ในปีต่ออายุ
- กรณีเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้างต้น: จะถูกเรียกเก็บ copayment 50% ในปีต่ออายุ

Copayment ไม่ได้ “น่ากลัว” อย่างที่คิด
- Copayment คิดจากค่ารักษาที่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์เท่านั้น
- โรคร้ายแรง & ผ่าตัดใหญ่ จะไม่ถูกรวม ในการคำนวณ Copayment (ยกเว้นระบุไว้ในกรมธรรม์)
- Copayment พิจารณาเป็นรายปี — ถ้าปีถัดไปไม่เข้าเงื่อนไข ก็จะไม่ต้องจ่ายร่วม
สรุป: Copayment ออกแบบมาเพื่อปรับพฤติกรรมการเคลมที่มากผิดปกติ — แต่ไม่ได้ตัดสิทธิการรักษาหลักของผู้ป่วยร้ายแรง
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายจริงจากโรคร้ายแรง
วิธีใช้ประกันแบบมี Copayment ให้คุ้มที่สุด
- ใช้ Telemedicine ก่อน Admit: ประเมินว่าจำเป็นต้องนอนหรือไม่ เพื่อลดการเคลมนอนที่ไม่จำเป็น
- ใช้สวัสดิการอื่นก่อน: เช่น ประกันกลุ่มหรือสวัสดิการบริษัท เพื่อลดฐานการคำนวน Copayment
- ใช้โรงพยาบาลในเครือ: AIA Smart Network/เครือที่มีข้อตกลงกับบริษัทประกัน เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
- ขอ Pre-authorization / Pre-admission: ตรวจสอบความจำเป็นของการรักษาขั้นสูงก่อน
- มีประกันโรคร้ายแรงคู่กัน: เพื่อให้มีเงินก้อนชดเชยแม้ต้องจ่าย Copayment ในปีเดียวกัน
สรุป
Copayment มีผลกับผู้ที่เคลมบ่อย/เคลมสูงเท่านั้น — หากปีต่อไปไม่เข้าเงื่อนไข ภาระค่าใช้จ่ายจะกลับมาเป็นปกติ โรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่จะไม่ถูกรวมคำนวณ Copayment ในภาพรวม การมีประกันสุขภาพที่อ่านเงื่อนไขและวางแผนการใช้ให้ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้มาก
